Smart City เข้าถึงทุกคนได้จริงหรือ?
Smart City หรือ เมืองอัจฉริยะที่เราได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ได้ก้าวสู่ยุค Thailand 4.0 ที่จะขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรมไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งนำไปสู่การเข้าถึงระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีที่มากขึ้น ระบบเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยของผู้คนในอนาคต ทว่าบางกลุ่มคนไม่มีโอกาสที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เหล่านี้เลย
ดิจิทัลเพื่อส่วนรวม (Digital Inclusion) ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนต่างเพศ อายุ ความสามารถ หรือ สถานที่ ทุกคนสามารถเข้าถึง ICTได้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งนั่นคงไม่เป็นความจริง ยังเหลือผู้คนอีกหลากหลายกลุ่ม เช่น ชาวนา ชาวไร่ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือแม้แต่ผู้ที่มีรายได้น้อย ที่เราเรียกกันว่า กลุ่มเปราะบาง ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ตได้ มันหมายความว่าพวกเขาเหล่านี้จะไม่มีสิทธิที่จะได้รับความสะดวกสบาย หรือมีโอกาศในการออกความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ที่สังคมเป็นอยู่เลยหรือ ซึ่งนั่นอาจจะไม่ใช่การออกแบบเมืองอัจฉริยะที่แท้จริงถ้าหากละทิ้งคนบางกลุ่มออกไป แต่แล้วโครงการ Smart Cities for All ได้นำหัวข้อ Digital Inclusion เข้ามาเป็นพันธกิจหลักและมีเป้าหมายเพื่อสร้างและปรับใช้เครื่องมือและกลยุทธ์ที่จำเป็นในการสร้างเมืองอัจฉริยะที่ครอบคลุมสำหรับทุกคนมากขึ้น
ประชาชนทุกคนควรได้รับประโยชน์จากโปรแกรมและเทคโนโลยีอัจฉริยะของเมืองที่น่าตื่นเต้นอย่างเมืองอัจฉริยะ ซึ่งมีการผสมผสานกระบวนการนวัตกรรมและระบบนิเวศนวัตกรรมในเมืองโดยให้ความสำคัญกับหลากหลายกลุ่มผู้คนเป็นอย่างมาก สหประชาชาติจึงได้จัดตั้งโครงการที่ชื่อว่า Smart Cities for All โดยองค์กร G3ict และ World Enabled เพื่อนิยามสถานะของการเข้าถึง ICT ในเมืองอัจฉริยะทั่วโลก ได้ทำการออกแบบ Digital Inclusion Toolkit เพื่อเป็นคู่มือในการเผชิญอุปสรรคสำคัญของการอยู่ร่วมกันของสังคมและให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหาได้ดี ซึ่งได้มีทั้งหมด 4 คู่มือด้วยกัน ดังนี้ 1) เครื่องมือจัดซื้อจัดจ้างเพื่อช่วยให้เมืองต่าง ๆมั่นใจว่าการลงทุนด้านเทคโนโลยีของพวกเขาส่งเสริมการผนวกรวมและซื้อเฉพาะเทคโนโลยีที่เข้าถึง 2) เครื่องมือที่สามารถระบุมาตรฐานเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ซึ่งมีความสำคัญสามลำดับที่แผนก CIO และแผนกไอทีทุกเมืองควรรู้และใช้งาน 3) เครื่องมือสื่อสารที่จะช่วยให้ผู้นำในเมืองต่าง ๆ สร้างความมุ่งมั่นในการรวมระบบดิจิทัลให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น 4) ฐานข้อมูลของโซลูชั่นสมาร์ทซิตี้ซึ่งหากสามารถเข้าถึงได้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อคนพิการ
ตัวอย่างของเมืองที่มุ่งพัฒนา Digital Inclusion คือเมลเบิร์นในออสเตรเลีย เกือบหนึ่งในห้าของชาวออสเตรเลียประสบกับความพิการ ดังนั้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 เมืองเมลเบิร์นจึงมีการจัดการแข่งขันแบบเปิด ที่มุ่งเน้นที่จะทำให้เมืองสามารถเข้าถึงคนพิการได้มากขึ้น บริษัทต่าง ๆ ได้รับการสนับสนุนให้รวมวิธีการที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่นที่จอดรถที่สามารถเข้าถึงได้ การนำทางเท้า และ ระบบป้ายบอกทาง
โครงการที่เมลเบิร์นประสบความสำเร็จนั่นก็คือ Melba แอปที่จับคู่ข้อมูลเปิดของเมืองเมลเบิร์นกับผู้ช่วยอัจฉริยะเช่น Siri, Google Assist และ Alexa ของ Amazon เพื่อให้ข้อมูลที่ทันสมัยผ่านเครื่องอ่านข้อความเสียงและหน้าจอ
- ClearPath เป็นระบบนำทางแบบเลี้ยวต่อเลี้ยวเพื่อช่วยคนตาบอดหรือผู้พิการทางสายตาในการสำรวจสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยรวมถึงการอนุญาตกิจกรรม สถานที่ก่อสร้าง พื้นผิวสัมผัสที่ราบเรียบ และสถานที่ที่มีคนเดินเท้าหนาแน่น
- Eatability เป็นระบบจัดอันดับที่ให้คำแนะนำสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มโดยแสดงการจัดอันดับความสามารถในการเข้าถึงของธุรกิจสำหรับกลุ่มคนพิการสี่กลุ่ม ได้แก่ การเคลื่อนไหว การได้ยิน การรับรู้ภาพ และ กระบวนการการรับรู้
อย่างไรก็ตามยังไม่มีตัวชี้วัดที่แน่ชัดกับการจัดการกับกลุ่มเปราะบางเหลานี้ ทั้งที่เมืองอัจฉริยะต้องตอบโจทย์และให้บริการตามลักษณะ 7 ด้าน ดังนี้ เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) ขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) และการบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) ตามที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลได้กำหนดไว้ และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงได้ แต่จะทำอย่างไรให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเมืองอัจฉริยะนี้
การพัฒนา Digital Inclusion คือการมองในเรื่องของ ผู้คนกลุ่มเปราะบาง และ โลกของดิจิทัล จะทำอย่างไรให้สองส่วนนี้ได้ทำงานร่วมกัน การทำให้โครงสร้างพื้นฐานและบริการ ICT ที่มีประสิทธิภาพ ทั่วถึง และ ราคาที่เข้าถึงได้ การเพิ่มทักษะและสร้างความตระหนักให้แก่กลุ่มเปราะบางเกี่ยวกับการใช้งานของระบบดิจิทัล ถือเป็นการก้าวขั้นพัฒนา Digital Inclusion แล้ว เมืองอัจฉริยะที่มีความหลากหลายผู้คนอยู่อย่างสะดวกสบายและมีความสุขที่ได้อยู่ในเมืองคือเมืองอัจฉริยะที่ประสบความสำเร็จ และนั่นก็คงยังไม่สายที่จะสร้างเมืองอย่างที่ว่า อย่างที่เราได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ว่าโลกเราพัฒนาทุกวัน อาจจะไม่ได้เห็นเป็นรูปธรรมแต่อาจจะเป็นความคิดแรกเริ่มที่คิดจะพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งนั่นถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
บทความโดย พิชชานันท์ วัฒนเลิศพงศ์
https://www.itu.int/en/ITU-D/Digital-Inclusion/Pages/default.aspx
https://www.smartcitiesworld.net/special-reports/empowering-vulnerable-citizens-in-smart-cities
https://smartcities4all.org/SC4A_Toolkit_Overview_XT.php
https://www.itu.int/en/ITU-D/Regional-Presence/ArabStates/Pages/Events/2018/HLDI/HLDI.aspx